วันที่ 8 ตุลาคม 2564 นางขัตติยา รัตนดิลก ผอ.สวพ. ได้รับมอบหมายจาก ผอ.สกธ. เข้าร่วมเป็นวิทยากรในการสัมมนาออนไลน์ เนื่องในวันยุติโทษประหารชีวิตสากล ในหัวข้อ “โทษประหารชีวิตกับกระบวนการยุติธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืน” โดยความร่วมมือระหว่าง กคส. และคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย กิจกรรมดังกล่าวจัดเป็นประจำทุกปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักถึงสิทธิมนุษยชนแลกเปลี่ยนทัศนะและความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างการใช้โทษประหารชีวิตกับการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อสนับสนุนนโยบายของไทยในการบรรลุเป้าหมายเกี่ยวกับการยุติโทษประหารชีวิต ตามที่รัฐบาลได้แสดงเจตจำนงไว้ในระหว่างการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชน หรือ Universal Periodic Review Second Cycle (UPR2) ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2559 โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในและต่างประเทศทั้งจากภาครัฐ ภาคประชาสังคม และสถาบันการ ศึกษาอันทรงเกียรติ มาร่วมเป็นวิทยากร และมีผู้เข้าร่วมสัมมนาออนไลน์ประมาณ 200 คน
ผอ.สวพ. ได้ร่วมบรรยายใน session เรื่อง “โทษประหารชีวิตในกฎหมายระหว่างประเทศ: สถานะของประเทศไทย” โดยนำเสนอเกี่ยวกับ “การดำเนินการตามแนวทางการปรับปรุงโทษประหารชีวิตตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2559 ของสำนักงานกิจการยุติธรรม” ประกอบด้วย สถานการณ์ของโทษประหารชีวิตในประเทศไทย , การขับเคลื่อนการปรับปรุงโทษประหารชีวิตด้วยกลไก กพยช. และอนุกรรมการภายใต้ กพยช. , การศึกษาวิจัยและการริเริ่มปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ,การสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนผ่านการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการในระดับพื้นที่ และการสำรวจความคิดเห็นประชาชน (โพล) เพื่อสอบถามทัศนคติของประชาชนที่มีต่อการคงไว้หรือยกเลิกโทษประหารชีวิต ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมสัมมนาออนไลน์ได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ อาทิ
1. ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของกลุ่มเปราะบางทำได้ยากขึ้น มีการใช้โทษประหารชีวิต
ในบางประเทศเยอะขึ้นโดยเก็บข้อมูลได้ยากเพราะมีมาตรการป้องกันของแต่ละประเทศ
2. บทเรียนและบาดแผลในยุโรป โดยเฉพาะภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 มีความรุนแรงมาก พลเมืองยุโรปเห็นพ้องกันว่าชีวิตมีความสำคัญมากและไม่ควรพรากไปด้วยเหตุใด ๆ โดยปัจจุบันได้มีการพิจารณาไปถึงการยกเลิกโทษจำคุกตลอดชีวิตเนื่องจากเป็นการทรมานอย่างหนึ่งด้วย
3. การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านยาเสพติดของไทยมีพัฒนาการชัดเจนขึ้นจากร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด เน้นการลงโทษโดยพิจารณาลักษณะ
ของตัวบุคคลมากขึ้น แต่ยังคงมีความท้าทายที่ยังคงกำหนดให้มีโทษประหารชีวิตอยู่
4. ประเทศไทยควรพิจารณามาตรการแทนการประหารชีวิตมาใช้อย่างจริงจัง โดยอาจนำหลักการเรื่องการจำคุกขั้นต่ำหรือระยะเวลาเพื่อความปลอดภัยของประเทศอังกฤษหรือฝรั่งเศสมาใช้ ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าได้รับความปลอดภัยแม้จะไม่มีโทษประหารชีวิตแล้วก็ตาม