เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2565 เวลา 13.00 น. ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม ได้มอบหมายให้นายชัยวัฒน์ ร่างเล็ก รองผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม เป็นวิทยากรในนามของกระทรวงยุติธรรม ในโครงการสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “ปัญหาการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผิดในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศไทย” พร้อมด้วยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล , รศ.ดร. ปกป้อง ศรีสนิท , นายรังสิมันต์ โรม ผู้แทนจาก สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วัตถุประสงค์การประชุม เนื่องด้วยหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นหลักสิทธิมนุษยชนที่ปรากฏในกฎหมายระหว่างประเทศ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 29 แต่ประเทศไทยกลับมีการใช้กฎหมายที่ขัดกับหลักการดังกล่าว โดยเฉพาะการคุมขังผู้ต้องหาหรือจำเลยในระหว่างพิจารณา ซึ่งบุคคลดังกล่าวยังไม่ได้ถูกพิพากษาว่ามีความผิด หากประสงค์จะประกันตัวต้องยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว กลายเป็นว่ารัฐปฏิบัติต่อประชาชนเสมือนเป็นการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นมีความผิด
สาระสำคัญจากการประชุม
1. ปัจจุบันประเทศไทยใช้หลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผิด คือ เป็นอาชญากรตั้งแต่ตอนตั้งข้อหา ซึ่งประเทศไทยมีคนที่ถูกนับว่าเป็นอาชญากรประมาณ 12 ล้านคน จึงเห็นควรให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาเปลี่ยนให้เป็นสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ตอนตั้งข้อหาให้บันทึกในทะเบียนผู้ต้องหาและล้างประวัติเก่า เปลี่ยนปล่อยชั่วคราวเป็นกักขังชั่วคราว ผู้ต้องหาที่ประกันตัวไม่ได้ ต้องกักขังไว้ในที่ๆ ไม่ใช่คุก และกระทรวงยุติธรรมต้องบูรณาการ ประเมินผล และป้อนข้อมูลกลับทั้งกระบวนการ
2. การขังระหว่างการดำเนินคดีอาญาเป็นยาแรงที่มีความจำเป็น รุนแรงในการทำลายความบริสุทธิ์ แต่รุนแรงในด้านการรักษาความสงบเรียบร้อย แต่ควรใช้เมื่อจำเป็น ไม่ควรใช้เป็นหลักทั่วไป และควรมีการแก้ไขกฎหมายว่าในการฝากขังครั้งแรก ให้ศาลใช้มาตรการอื่นก่อน และใช้มาตรการขังเป็นมาตรการสุดท้าย
3. แม้รัฐธรรมนูญจะวางหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่กฎหมายเฉพาะอีกหลายฉบับก็มีการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผิด เช่น พระราชบัญญัติการพนันฯ ประมวลกฎหมายยาเสพติด ประกอบกับเมื่อมีการจับกุมตัวบุคคลใดได้ สังคมมักมองว่าบุคคลนั้นเป็นคนผิด เจ้าหน้าที่รัฐจึงต้องทำงานภายใต้ความเห็นต่าง
4. เห็นควรต้องมีการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และแก้รัฐธรรมนูญ โดยอาจบัญญัติเรื่องผู้ตรวจการศาลเพื่อให้มาตรวจสอบศาล แต่ไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงการดำเนินคดีได้ รวมไปถึงตุลาการศาลปกครองสูงสุด และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ต้องมีการยึดโยงกับประชาชน และเสนอให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา เพิ่มฐานความผิดการบิดเบือนกฎหมาย