วันอังคารที่ 5 มีนาคม 2567 เวลา 15.00 น. พันตำรวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการกำหนดให้ศูนย์พิทักษ์สันติ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า (ศพส.ศปก.ตร.สน.) เป็นสถานที่ขังตามกฎกระทรวงกำหนดสถานที่อื่นที่ใช้ในการขัง จำคุก หรือควบคุมผู้ต้องหา จำเลย หรือผู้ซึ่งต้องจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุด พ.ศ. 2552 โดยมีนายชาตรีจันทร์เพ็ญรองผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรมและนายชัยวัฒน์ร่างเล็กผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเข้าร่วมประชุมกับผู้แทนจากกองบังคับการสืบสวนสอบสวนจังหวัดชายแดนภาคใต้ณกระทรวงยุติธรรมซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติในแต่ละประเด็นดังนี้
ที่ประชุมมีมติรับทราบเรื่องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอให้มีการประกาศให้ศูนย์พิทักษ์สันติ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า (ศพส.ศปก.ตร.สน.) เป็นสถานที่ขังตามกฎกระทรวงฯ อีกทั้ง ได้พิจารณาแนวทางการกำหนดให้ ศพส.ศปก.ตร.สน. เป็นสถานที่ขังตามกฎกระทรวงฯ
สืบเนื่องจากสภาพปัญหาของกฎกระทรวงฯที่ไม่มีการนำมาตรการการคุมขังในสถานที่อื่นมาบังคับใช้ให้เกิดผลได้จริงประกอบกับจากการสำรวจสถานที่ก็ไม่พบสถานที่ที่เหมาะสมเพราะคุณลักษณะของสถานที่ขังมีความเคร่งครัดไม่ต่างจากเรือนจำรวมถึงการขาดแคลนงบประมาณและการเตรียมความพร้อมบุคลากรนอกจากนี้กองบังคับการสืบสวนสอบสวนจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ชี้แจงถึงวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งศูนย์พิทักษ์สันติกระบวนการสอบสวนและคุมตัวผู้ต้องสงสัยโครงสร้างทางกายภาพความพร้อมของสถานที่เทคโนโลยีที่ใช้ในสถานที่สถิติการร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศูนย์พิทักษ์สันติเป็นสถานที่ขังซึ่งที่ประชุมได้มีมติดังนี้
1. ให้นำบทบาทและภาระหน้าที่ของศูนย์พิทักษ์สันติเป็นกรอบหลัก เพื่อนำเอาองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประสิทธิภาพในกระบวนการยุติธรรม
2. ตามมาตรา 89/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มีเหตุจำเป็นในการร้องขอให้ไปอยู่ในสถานที่อื่นที่แตกต่างจากพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
3. ทำอย่างไรให้องค์ความรู้ในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมที่มีความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงอยู่ต่อไป และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย
ทั้งนี้ เห็นควรให้กองบังคับการสืบสวนสอบสวนจังหวัดชายแดนภาคใต้นำเรื่องดังกล่าวไปหารือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้รอบคอบ รัดกุม เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อกระบวนการยุติธรรมในภาพรวม และสำนักงานกิจการยุติธรรม จะได้สรุปประเด็นความคืบหน้ารายงานต่อปลัดกระทรวงยุติธรรมเพื่อลงนามถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติต่อไป