วันที่ 13 พฤษภาคม 2564 เวลา 09.15 น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมทางวิชาการระดับชาติว่าด้วยงานยุติธรรม ครั้งที่ 18 หัวข้อ “การอํานวยความยุติธรรมในยุควิถีใหม่สู่ประชาชน” พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษผ่านช่องทางออนไลน์ ในหัวข้อ “ทิศทางการบริหารงานยุติธรรมในยุค New Normal” นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานหลักในกระบวนการยุติธรรมร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในประเด็นของการอำนวยความยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมในยุค New Normal ได้แก่ นางเมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกา, นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด, ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม, และพลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมีพันตำรวจโทพงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม กล่าวต้อนรับ
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (Covid 19) ทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคม การเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน ดังนั้น กระบวนการยุติธรรมควรมีการจัดระบบและเปลี่ยนแปลงใหม่ ต้องมีการวิเคราะห์ว่าสิ่งใดที่ต้องปรับเปลี่ยนและทำอย่างไรให้ได้ผลเหมือนเดิมหรือดีกว่าเดิม เช่น การพิจารณาคดีในกระบวนการยุติธรรมล่าช้า หรือผู้ต้องขังในเรือนจำติดโรคระบาด เป็นต้น โดยประเทศไทยมีคณะกรรมการระดับชาติที่สำคัญ คือ คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ซึ่งเป็นเวทีที่ ตำรวจ ศาล อัยการ ทนายความ ราชทัณฑ์ และหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม เข้ามาทำงานร่วมกันและขับเคลื่อนไปพร้อมกัน โดยมีสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม เป็นฝ่ายเลขานุการฯ นอกจากนี้ยังมองว่า “การจัดตั้งศูนย์พยากรณ์สถานการณ์อาชญากรรม” โดยสำนักงานกิจการยุติธรรม เป็นการพัฒนาข้อมูลกระบวนการยุติธรรมด้วยการศึกษาวิเคราะห์ วิจัย เอกสาร ข้อมูล สถิติอาชญากรรม ประโยชน์ในการพัฒนากระบวนการยุติธรรมต่อไปในอนาคต
ทางด้านประธานศาลฎีกา กล่าวว่า ในปัจจุบันศาลยุติธรรมทบทวนและพยายามปรับตัวให้สอดคล้องกับบริบทสังคม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน มุ่งหวังให้ “ศาลยุติธรรมจะเป็นที่พึ่งแรกของประชาชน” โดยเน้น “การให้บริการ” บนพื้นฐานของ 1) ความถูกต้อง ด้วยการพัฒนาบุคคลากรให้มีความรู้ เพื่อไปพัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรม พร้อมทั้งช่วยเหลือประชาชนและสังคม 2) ความเป็นธรรม เน้นการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดีของศาล และ 3) ความรวดเร็ว ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้มากขึ้น ในการพิจารณาคดีผ่านระบบออนไลน์ สร้างจุดบริการเบ็ดเสร็จ One Stop Service/ Drive Thru สำหรับการยื่นคำร้อง-รับคำฟ้อง เป็นต้น เป็นการลดขั้นตอนการทำงานและลดค่าใช้จ่าย
อัยการสูงสุด กล่าวว่า สำนักงานอัยการสูงสุดได้ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานและกลยุทธ์ต่างๆ ที่เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบันซึ่งเป็นยุคดิจิทัล โดยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเข้ามามีส่วนร่วมและแสดงความคิดเห็นมากขึ้น มีการปรับกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับหน่วยงานอื่นๆ ควรมีการบูรณาการร่วมมือในการทำงานระหว่างหน่วยงาน โดยให้สำนักงานกิจการยุติธรรมเป็นหน่วยงานประสานความร่วมมือและปิดช่องว่างของปัญหาในกระบวนการยุติธรรม รวมถึงได้มีการปรับโครงสร้างของหน่วยงานเพื่อไปทำภารกิจต่างๆ โดยมีนโยบายในการแก้ไขปัญหาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง 4 ประการ ได้แก่ 1.การรักษาผลประโยชน์ของรัฐ ทำงานด้วยความรวดเร็ว เป็นธรรม เสมอภาค โปร่งใสตรวจสอบได้ 2. การบูรณาการความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ 3.นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่มาใช้ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว 4. เพื่อเป็นการสนับสนุนงานทั้ง 3 ด้าน โดยการสนับสนุน ส่งเสริมให้บุคลากรของสำนักงาน ยึดมั่นในหลักคุณธรรม จริยธรรม มีจิตอาสา รวมทั้งสนับสนุน อุปกรณ์วัสดุ และงบประมาณ
ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมควรมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการทำงานจากรูปแบบการทำงานแบบเดิมมาใช้การทำงานในระบบอิเล็กทรอนิกส์มากยิ่งขึ้น เพื่อทำให้การทำงานมีความสะดวก รวดเร็ว และทันต่อเหตุการณ์ โดยกระทรวงยุติธรรมได้มีการปรับรูปแบบวิถีชีวิตแบบใหม่ที่หลีกเลี่ยงการสัมผัส ผ่านการทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์แทนรูปแบบเอกสาร เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดการก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างแท้จริง รวมถึงมีการพัฒนารูปแบบการทำงานโดยการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ เช่น การสร้างระบบร่วมกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ได้แก่ ระบบของกรมบังคับคดี ระบบของกองทุนยุติธรรมหรือสำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา ส่วนทางด้านงานกลุ่มพัฒนาพฤตินิสัยก็ได้จัดทำระบบระบบ Software ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence) หรือระบบ Machine Learning เพื่อทำนายแนวโน้มผู้ที่จะกระทำความผิดซ้ำ แต่จะต้องศึกษาถึงสาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดการกระทำความผิดซ้ำเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมควรมีการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เพื่อประโยชน์ในการสืบสวนสอบสวน การรวบรวมพยานหลักฐาน การหาร่องรอยจากอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศ และการพัฒนาการใช้พยานหลักฐานแบบไม่มีตัวกลาง รวมทั้ง นำแนวคิดดังกล่าวมาใช้เพื่อการพัฒนากระบวนการยุติธรรม ซึ่งอาจจะทำให้เราสามารถคาดเดาสถานการณ์ในกระบวนการยุติธรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้มากยิ่งขึ้น
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (Covid 19) ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงาน การบังคับใช้กฎหมายต้องควบคู่ไปกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค เพราะงานของตำรวจเป็นงานที่ต้องสัมพันธ์กับประชาชน และปัจจุบันมีปัญหากระทำความผิดบนโลกออนไลน์จำนวนมาก จึงจำเป็นจะต้องมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ทั้งการออกกฎหมายใหม่ หรือการบูรณาการการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานในทุกภาคส่วน ที่ควรนำการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ในการจัดการข้อมูล Big Data และการใช้ประโยชน์สำหรับการดำเนินงาน ขอให้มั่นใจว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะยึดมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ การรักษาความยุติธรรม การอำนวยความยุติธรรมให้แก่พี่น้องประชาชน การรักษาความสบเรียบร้อย การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมให้ได้ตามวัตถุประสงค์ และตามเป้าหมายของรัฐบาล
ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนวคิดนโยบายของผู้บริหารในกระบวนการยุติธรรม นักวิชาการ องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงภาคประชาสังคม ในการแสวงหาแนวทางการอํานวยความ ยุติธรรมที่จะต้องมีการปรับตัวให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และจะนำผลสรุปจากการประชุมทางวิชาการเพื่อมาเป็นกรอบทิศทางในการเสนอแนะ กฎหมายและนโยบายทางอาญา ต่อคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีต่อไป
การจัดประชุมในครั้งนี้ได้รับเกียรติจากท่านวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาอาชีพ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ในการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะร่วมกัน ระหว่างผู้เข้าร่วมประชุมจากหน่วยงานภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ องค์กรอิสระ สถาบันการศึกษา นักวิชาการ สื่อมวลชน รวมถึงประชาชนผู้สนใจ ผ่านทางระบบ Online Hybrid เต็มรูปแบบ และภายในงานยังมีการนำเสนอในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปรับกระบวนทัศน์ใหม่ ของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม การประเมินสถานการณ์และการอำนวยความยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพต่อประชาชน การเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย และการปรับตัวในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล เป็นต้น โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ผ่านระบบออนไลน์ จำนวนมากกว่า 2,000 คน